เส้นผมบังภูเขา
สิ่งที่เราคิดว่ามีแท้ที่จริงมันมิได้มี แล้วทำไมเราคิดว่ามี มันเป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา ศาสนาพุทธเราเป็นสัจจธรรมคือธรรมะว่าด้วยเรื่องความจริง เราไม่ต้องรู้อะไรมาก แค่รู้ความจริงเท่านั้น นั่นแหละจะพบจุดสิ้นสุดการปฏิบัติในเวลาไม่นาน ที่ปฏิบัติกันเนิ่นช้าก็เพราะไม่ระลึกตามความเป็นจริง มันจึงเหมือนเส้นผมบังภูเขาด้วยเหตุนี้
ตัวอย่างคำว่าจิตจงระลึกดูจริงๆแล้วจิตคืออะไร จิตมีอยู่จริงๆหรือไม่ ดูจิตเห็นจิตสิ่งที่ดูที่เห็นคือจิตจริงๆหรือ ลองตั้งคำถามเหล่านี้ในใจก่อนที่จะดูจิตหรือดูสิ่งใด แล้วก็ว่ากันไปตามความจริง อย่าเพิ่งไปเชื่อใจสิ่งที่เห็น จิตคือกลุ่มอาการของธาตุสี่ธาตุ คือกลุ่มเวทนาธาตุ กลุ่มสัญญาธาตุ กลุ่มสังขารธาตุ กลุ่มวิญญาณธาตุ กลุ่มธาตุทั้งสี่มีเหตุม่ปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาก็มารวมกลุ่มกัน พอมารวมกลุ่มกันมิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาใหม่ แค่มีกลุ่มอาการต่างๆสี่อาการมารวมตัวกัน เป็นอาการรู้สึก อาการจำได้ อาการคิด อาการรับรู้ เราเรียกกระบวนการทั้งหมดนี้ว่า"จิต" จะเห็นได้ว่า จิต คือคำที่สร้างขึ้นมาเป็นสรรพนามแทนอาการสี่อาการ มิใช่แทนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเราจะเรียกอะไรก็ได้ ไม่ว่าเรียกชื่อมันเป็นอะไร ก็มิได้มีสิ่งใดๆเกิดขึ้นมาใหม่เลย ธาตุสี่ก็ยังเป็นแค่ธาตุสี่ มันยังรวมตัวกันอย่างนั้น เราเรียกว่าจิต มโน ใจ วิญญาณ หรือจะเรียกว่ามันคือตัวตึ๋งหนืด ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาใหม่ สมมุติเราเรียกตัวตึ๋งหนืด ตัวตึ๋งหนืดก็ใช่จะมีตัวตนของมันเองขึ้นมา เรียกว่าอะไรมันก็ไม่มีตัวตนของสิ่งที่เรียกเพิ่มขึ้นมาใหม่เลย มันมีแค่ธาตุสี่
ปัญหามันเกิดตรงนี้ มันเหมือนเป็นเส้นผมบังภูเขาตรงนี้ ตรงที่พอเราเรียกธาตุสี่กลุ่มนี้ว่าจิต แล้วไปคิดว่ามีจิตเพิ่มขึ้นมา เราคิดกันเช่นนั้นจริงๆเพราะความไม่รู้ เพราะความเคยชิน ไม่เชื่อเราลองเรียกธาตุสี่กลุ่มนี้ว่าตัวตึ๋งหนืดดู เราจะไม่คิดว่าตัวตึ๋งหนืดมีอยู่จริงดอก เราจะระลึกได้ขึ้นมาเองว่าตัวตึ๋งหนืดที่เราเรียกนี้คือกลุ่มธาตุสี่ธาตุ นั่นแหละตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เราคิดถึงสิ่งใด นั่นนับว่าสิ่งนั้นมีขึ้นมาแล้ว มีเพราะเราไปคิดเองว่ามี ไม่ใช่มันมีขึ้นมาจริงๆ ของจริงคือธาตุรวมตัวกัน แต่เราเรียกมันอีกอย่างแล้วหลงผิดไปคิดว่าสิ่งที่เรียกมันคือของสี่อย่างที่มันมีอยู่เดิม เรียกของสี่อย่างว่าจิต ก็ไพล่ไปคิดทันทีเลยว่าจิตมีขึ้นมา เรียกธาตุสี่ว่าโลก ก็คิดว่าโลกมีขึ้นมา เรียกธาตุสี่ที่รวมกลุ่มกันในลักษณะแตกต่างกัน เรียกชื่ออะไรคิดว่าชื่อที่เรียกมีตัวตนทันที พอกลุ่มธาตุสี่มันทำอะไรก็หลงผิดคิดว่าชื่อที่เรียกมาใหม่มันทำ เช่นวิญญาณธาตุทำหน้าที่รู้ก็คิดเป็นตุเป็นตะไปว่าจิตรู้ เวทนาธาตุมันรู้สึกก็ว่าจิตรู้สึก สังขารธาตุมันคิดก็เป็นตุเป็นตะไปอีกเหมือนกันว่าจิตมันคิด แล้วต่อมาเมื่อคิดว่าจิตมีตัวตนก็ตู่ขึ้นมาอีกว่าจิตของฉัน จนกลายเป็นจิตคือเราเราคือจิต เรียกว่าแค่ธาตุสี่ธาตุรวมตัวกันเท่านั้น มันกลายเป็นสิ่งต่างๆได้มากมายก่ายกอง สิ่งที่เกิดมากมายก่ายกองมันคือเส้นผมบังภูเขา สมมุติบัญญัติคือมายาคือของหลอกลวง มันเป็นผู้ปิดบังความจริง
เราจะยกเส้นผมเส้นนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นดอกถ้าใจคิดจะยกจริงๆ ก็แค่ระลึกตามความเป็นจริง พูดได้เรียกได้แต่อย่าไประลึกว่าสิ่งที่พูดที่เรียกมันมีอยู่จริง เราเรียกจิตอย่าไปคิดว่าจิตมี มันมีเพราะเราไปคิดว่ามีเอง ถ้าจิตมี เห็นจิตได้จริง หรือจิตมันทำงานได้จริง เราเปลี่ยนมาเรียกธาตุสี่เหล่านี้ว่าตัวตึ๋งหนืด แล้วตัวตึ๋งหนืดมันจะมีขึ้นมาได้ไหม ตัวตึ๋งหนืดมันจะทำอะไรได้ไหม และเราจะเห็นจะดูตัวตึ๋งหนืดไปทำไม แล้วจะเห็นมันไหม หรือพอเปลี่ยนชื่อก็ไม่มีตัวตนทั้งๆที่เป็นธาตุสี่กลุ่มเดิม พอใส่ชื่อว่าจิตมีจิตขึ้นมา ถ้ามันมีตัวคตนอยู่จริงๆจะเรียกชื่อว่าเป็นอะไรมันก็ต้องมีตัวตนให้สัมผัส ธาตุมันแสดงอาการรู้เราก็ไปคิดเองว่าจิตรู้ การแสดงอาการรู้มันเป็นกิริยาที่แสดงการกระทำโดยไม่มีผู้กระทำ เราเองนั่นแหละหาตัวผู้กระทำไม่ได้ ก็ไปใส่ว่ามีตัวรู้มารู้ น่านมันเป็นยังงั้น คือหาตัวตนมาใส่ในสิ่งที่ไม่มีตัวตน หาเรื่องทุกข์กันเองแท้ๆ ลองอ่านทบทวนแล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญดู และทดลองเลิกคิดว่ามีตัวรู้มีจิตมีอะไรๆตามที่เคยคิดว่ามี พลิกจิตมาคิดใหม่ระลึกใหม่ว่าอาการของธาตุสี่เท่านั้นที่มี นอกนั้นเป็นแค่คำพูดลอยๆไม่มีตัวตนของคำพูดใดๆที่มันมีตัวมีตนอยู่จริงๆเลยสักตัว สิ่งที่พูดไม่มีอยู่จริง สิ่งที่คิดไม่มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริงคืออาการของธาตุสี่ฝ่ายรูปและธาตุสี่ฝ่ายนามเท่านั้นเอง มันรวมตัวกันตามเหตุตามปัจจัยและเมื่อรวมตัวกันก็ไม่มีสิ่งใดๆเกิดขึ้นมาใหม่ ไร้สาระไร้แก่นสารที่จะไปตามดูสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ขืนตามไปดูก็จะมีแต่ทุกข์มีแต่หลงผืด ไปเห็นอาการของธาตุก็เที่ยวตู่ว่าเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เรียกว่าสิ่งที่ดูไม่เห็นคือดูธาตุไม่เห็นธาตุ ไพล่ไปเห็นสิ่งที่ไม่ได้ดู คือดูธาตุแต่ไปเห็นเป็นจิต แล้วหลงผิดไปเองว่าจิตมี จิตไม่มีอยู่จริง ตัวตึ๋งหนืดก็ไม่มีอยู่จริง พิสูจน์ทราบกันด้วยตนเอง
Cr:เจริญธรรม สมสุโขภิกขุ
- สิ่งใดๆมันมีหรือไม่มีอยู่แค่ในจินตนาการ
- มิใช่มีตามความเป็นจริง
- รู้แจ้งเห็นจริงจะเลิกคิดว่ามีหรือไม่มีในทุกสรรพสิ่ง
- อยู่กลางๆว่างจากมีและไม่มี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น